ดังนั้นลักษณะของอาหารที่ควรได้รับจะแตกต่างจากภาวะปกติที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ โภชนาการของหญิงก่อนตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์และหลังคลอดมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของทารก เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ทารกเจริญเติบโตรวดเร็วที่สุด ทั้งร่างกายและสมอง โดยอาศัยสารอาหารผ่านทางสายรกของแม่ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต และภาวะความผิดปกติของทารกได้
การดูแลสุขภาพและโภชนาการก่อนตั้งครรภ์
หญิงที่มีภาวะโภชนาการที่ดีก่อนการตั้งครรภ์ จะมีโรคภัยไข้เจ็บหรือภาวะแทรกซ้อนระหว่างมีครรภ์ และคลอดบุตรก่อนกำหนดน้อยกว่ามารดาที่มีภาวะโภชนาการที่ไม่ดีก่อนตั้งครรภ์ และลดอันตรายจากภาวะสุขภาพที่ไม่ดีที่อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์และทารกแรกคลอดได้ เนื่องจากมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อได้ดีจึงไม่ค่อยพบการเจ็บป่วย ไม่ค่อยแพ้ท้องมากนัก และทารกที่คลอดจะมีสุขภาพแข็งแรง น้ำหนักแรกเกิดปกติ
สุขภาพของคุณแม่สามารถประเมินได้คร่าวๆจากค่าดัชนีมวลกาย (body mass index; BMI) โดยนำน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูงยกกำลังสอง (หน่วยเป็นเมตร) เพื่อหาว่ามีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ใด จากการศึกษาพบว่า
ผู้หญิงที่สามารถให้กำเนิดทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงน้ำหนักแรกคลอดปกติค่าดัชนีมวลกายไม่ควรเกิน 23 (kg/m2)
ผู้หญิงที่ค่าดัชนีมวลกายน้อยกว่า 19 (kg/m2) จะส่งผลให้ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย (น้อยกว่า 2,500 กรัม) ถึง 5 เท่า โดยเมื่อเริ่มตั้งครรภ์มักเป็นโรคครรภ์เป็นพิษ (toxemia) และเพิ่มภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ภาวะโภชนาการที่น้อยกว่าปกติมีโอกาสที่จะมีบุตรยาก ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือขาดประจำเดือน หรือทารกมีภาวะโลหิตจาง
ผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25 (kg/m2) ควรมีการลดน้ำหนักอย่างน้อย 3-4 เดือนก่อนวางแผนการตั้งครรภ์ เนื่องจากการลดน้ำหนักในระยะที่มีการปฏิสนธิทำให้ขาดสารอาหารและพลังงาน ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้
ซึ่งมีงานวิจัยของไพรัตน์ (2541) ที่พบว่า ส่วนสูงของหญิงตั้งครรภ์ น้ำหนักของหญิงก่อนตั้งครรภ์ น้ำหนักตัวของหญิงก่อนคลอด และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวของทารกแรกเกิด โดยหญิงตั้งครรภ์ที่สูงน้อยกว่า 150 เซนติเมตร น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์น้อยกว่า 45 กิโลกรัม น้ำหนักก่อนคลอดน้อยกว่า 55 กิโลกรัม และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์น้อยกว่า 12 กิโลกรัม มีแนวโน้มในการกำเนิดทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม ดังนั้นน้ำหนักตัวของหญิงตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้นได้ตามมาตรฐานตลอดการตั้งครรภ์ จะสะท้อนถึงการได้รับอาหารที่เพียงพอของหญิงตั้งครรภ์
การดูแลสุขภาพและโภชนาการระหว่างตั้งครรภ์
ส่วนในระหว่างตั้งครรภ์ ควรดูแลเอาใจใส่ในเรื่องอาหารและโภชนาการ ให้ได้รับอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายหญิงตั้งครรภ์ ทารกที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโภชนาการไม่ดีจะมีโอกาสป่วยมากกว่าหญิงตั้งครรภ์ได้รับสารอาหารน้อยหรือมากเกินไป อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ เช่น
หญิงตั้งครรภ์ได้รับพลังงานน้อยในช่วง 3 เดือนก่อนคลอดการพัฒนาตับอ่อนของทารกในครรภ์จะถูกยับยั้งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในระยะต่อมาได้
หญิงตั้งครรภ์ที่น้ำหนักตัวขึ้นน้อยมักส่งผลให้คลอดบุตรที่มีน้ำหนักตัวน้อย หรือเกิดภาวะ Low Birth Weight; LBW คือ ทารกแรกเกิดที่คลอดออกมาแล้วมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัม และยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอด ความผิดปกติด้านร่างกาย การเจ็บป่วยและตายในช่วงแรกของชีวิตได้มากกว่าเด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักปกติ
เด็กทารกแรกคลอดที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ขาดอาหารในระยะกลางและระยะหลังของการตั้งครรภ์ จะมีความสูงน้อยและผอมกว่าเด็กที่มารดาไม่ขาดอาหาร และมีอุบัติการณ์ของความดันโลหิตสูง โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจ ไขมันในเลือดผิดปกติ และโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้นในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งส่งผลทำให้ร่างกายสลายโปรตีน และแคลเซียมมากกว่าปกติ
โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนก่อนคลอด เป็นช่วงที่ทารกในครรภ์มีอัตราความเจริญเติบโตรวดเร็วที่สุดทั้งร่างกายและสมอง ถือว่าเป็นช่วงสำคัญอย่างยิ่งของทารกในครรภ์ ถ้าทารกในครรภ์ขาดสารอาหารในระยะนี้ จะทำให้ทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตช้าลงทั้งทางร่างกายและสมอง มีผลทำให้น้ำหนักแรกคลอดน้อยและส่วนสูงน้อยกว่าเกณฑ์ ทำให้สมองมีจำนวนเซลล์สมองน้อยกว่าที่ควรเป็นและขนาดของสมองเล็กส่งผลต่อระดับสติปัญญาของทารก
อายุของมารดาเมื่อตั้งครรภ์ส่งผลต่อทารกในครรภ์
ระยะที่เหมาะสมของการตั้งครรภ์ คือ ช่วงอายุระหว่าง 25-35 ปี
การตั้งครรภ์เมื่ออายุน้อยหรือช่วงวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี (teenage pregnancy)
ซึ่งเป็นช่วงอายุที่ยังไม่พร้อมในการตั้งครรภ์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ มักพบความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซีดในหญิงตั้งครรภ์และทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์คลอดก่อนกำหนด และมีอัตราการเสียชีวิตของทารกสูง เนื่องจากในหญิงวัยรุ่นยังมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกายไม่สมบูรณ์ทำให้มีการใช้พลังงานสูง เมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นจึงมีความต้องการพลังงานมากกว่าการตั้งครรภ์ของหญิงปกติ (Wildschut, 2006) นอกจากนี้วัยรุ่นยังต้องปรับตนเองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ รวมทั้งวัยรุ่นมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ดี เช่น กินตามแฟชั่นกลัวอ้วน กลัวสังคมไม่ยอมรับจึงมักจะอดอาหารหรืองดอาหารบางมื้อ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารได้มากและส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ (รวีโรจน์, 2542)
การตั้งครรภ์เมื่ออายุมากกว่า 35 ปี (elderly pregnancy)
มักพบการเสียชีวิต และการเกิดความพิการของทารกในอัตราที่สูงขึ้น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อให้ตนเองและทารกได้ โรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน เป็นต้น รวมทั้งอัตราความเสี่ยงต่อการที่ทารกจะมีความผิดปกติทางระบบพันธุกรรมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome) ทำให้ทารกที่เกิดมามีอาการปัญญาอ่อน ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีอายุมาก การสร้างเซลล์สืบพันธ์หรือมีไข่ที่โครโมโซมขาดหรือเกิน ซึ่งเกิดจากการไม่แยกกันของโครโมโซมระหว่างที่เซลล์แบ่งตัวสร้างไข่ โดยเฉพาะในมารดาที่อายุมากกว่า 40 ปีมักพบอาการกลุ่มดาวน์ซินโดรมในทารกสูงถึงร้อยละ 4.9 (อุ่นใน, 2549) ดังนั้นถ้าต้องการตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้จากผลการรายงานขององค์การอนามัยโลก ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 56 ล้านคน มีสาเหตุจากโรคเรื้อรังไม่ติดต่อถึงร้อยละ 66 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 73 ในปี ค.ศ. 2020 ได้แก่
เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคหลอดเลือดในสมอง
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ และมีผลต่อเนื่องถึงวัยผุ้ใหญ่
เด็กทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือขนาดตัวเล็กเมื่อแรกเกิด ทั้งที่มีสาเหตุจากการเจริญเติบโตผิดปกติในครรภ์ หรือเกิดก่อนกำหนด เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและปัญหาสุขภาพเมื่อเป็นผู้ใหญ่
เด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก เมื่อแรกเกิดเสี่ยงต่อโรคอ้วนและ metabolic syndrome ในวัยผู้ใหญ่เช่นกัน
จะเห็นได้ว่าการเตรียมตัวทางด้านโภชนาการก่อนการตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ รวมทั้งอายุของหญิงตั้งครรภ์จึงมีความสำคัญที่มีผลกระทบการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ และจะส่งผลต่อพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยจนตลอดอายุขัย
ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับ
หญิงตั้งครรภ์ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เพื่อรับการตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ยังมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว จึงทำให้หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับสารอาหารและพลังงานเพิ่มมากขึ้น ทั้งปริมาณและคุณภาพ ดังนี้
ความต้องการพลังงานของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพราะการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ขึ้นกับน้ำหนักของมารดาที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปใช้สำหรับการเจริญเติบโตของทารกและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของแม่ ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งการเพิ่มน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ขึ้นอยู่กับระยะ
ของการตั้งครรภ์ โดยน้ำหนักตัวเฉลี่ยของหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวปกติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 11.5-16 กิโลกรัม ตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์
ในไตรมาสแรก (1-3 เดือน) หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากยังมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในหญิงที่มีสุขภาพดีอาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 2 กิโลกรัมก็เพียงพอ ซึ่งได้จากการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 150-200 แคลอรี
ในไตรมาสที่ 2 (4-6 เดือน) และไตรมาสที่ 3 (7-9 เดือน) การเพิ่มของน้ำหนักมารดามีความสำคัญ เนื่องจากทารกในครรภ์เติบโตรวดเร็วมากในระยะนี้ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายต้องทำงานเพิ่มขึ้น จึงควรต้องเพิ่มพลังงานขึ้นเป็นวันละ 300 แคลอรี เพื่อให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1.4-1.8 กิโลกรัมในแต่ละเดือนจนถึงคลอด
การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวหญิงตั้งครรภ์แต่ละคนจะไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ว่าอยู่ในเกณฑ์ใด ซึ่งสามารถคำนวณได้จากค่าดัชนีมวลกาย (body mass index; BMI) เพื่อหาว่ามีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ใด ถ้าหญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวน้อย ระหว่างตั้งครรภ์ควรเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้นกว่าปกติ หรือถ้ามีน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์มาก ควรเพิ่มน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป
น้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์และน้ำหนักตัวที่ควรเพิ่มขึ้นเมื่อถึงวันครบกำหนดคลอด
น้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์
|
น้ำหนักตัวที่ควรเพิ่มขึ้น (กิโลกรัม)
|
น้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ (BMI < 19.8)
น้ำหนักตัวปกติ (BMI = 19.8-25.9)
น้ำหนักตัวมากกว่าปกติ (BMI = 26-29)
ภาวะอ้วน (BMI > 29)
กรณีตั้งครรภ์แฝด
|
12.5-18
11.5-16
7-11.5
7 หรือมากกว่า
16-20
|
ที่มา: Wardlaw and Smith, 2011
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของหญิงตั้งครรภ์ กรณีตั้งครรภ์ทารกคนเดียว
ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น
|
น้ำหนัก (กิโลกรัม)
|
ทารก
เต้านมที่โตขึ้น
มดลูกที่โตขึ้น
รก
น้ำคร่ำ
ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้น
ปริมาณของเหลวที่เพิ่มขึ้น
ไขมันสะสมตามร่างกาย
|
3-3.5
0.5-1.4
1
0.5-1
1
1.4-1.8
1-1.4
2.7-3.5
|
ที่มา : สมเกียรติ, 2551
อาหารที่ให้พลังงานที่หญิงตั้งครรภ์ได้รับควรมาจาก คาร์โบไฮเดรตจากข้าว แป้ง ธัญพืช เผือก มัน โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา ถั่วต่าง ๆ ไขมันจากพืชและสัตว์ สำหรับวิตามินและเกลือแร่ได้จากการกินผักและผลไม้รวม ซึ่งการใช้พลังงานของร่างกายสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรใช้พลังงานจากการเผาผลาญกรดไขมันและกลูโคส สำหรับโปรตีนไม่ควรนำมาเป็นแหล่งพลังงาน แต่ควรใช้เพื่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เอนไซม์ และฮอร์โมน เป็นต้น
ความต้องการโปรตีนของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์
ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์มีความต้องการโปรตีนเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของทั้งมารดาและทารก ความต้องการโปรตีนจะสูงสุดในระยะไตรมาสสุดท้ายหรือ 3 เดือนก่อนคลอด เซลล์สมองของทารกจะมีการแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้ามารดาได้รับโปรตีนและแคลอรีไม่เพียงพอจะทำให้มีจำนวนเซลล์สมองน้อยและขนาดเล็ก ซึ่งมีผลต่อสติปัญญาและการเรียนรู้ของเด็กในอนาคต
คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย ได้แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ กินอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ 25 กรัม เนื่องจากโปรตีนประมาณ 1.5 กรัม ต่อน้ำหนัก
ตัว 1 กิโลกรัม และประมาณ 2 ใน 3 ของโปรตีนที่ได้รับควรเป็นโปรตีนจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น
ความต้องการเกลือแร่
หญิงตั้งครรภ์มีความต้องการเกลือแร่ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจากภาวะปกติ เนื่องจากทารกในครรภ์ต้องนำเกลือแร่ต่าง ๆ ไปใช้ในการสร้างโครงสร้างหลักของร่างกาย เช่น กระดูกและฟัน เป็นต้น เกลือแร่ที่สำคัญที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับมากกว่าปกติ ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก ไอโอดีน และสังกะสี เป็นต้น
- แคลเซียม
แคลเซียมเป็นเกลือแร่ที่คุณแม่จำเป็นจำเป็นต้องใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน การควบคุมการเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด การหดตัวของกล้ามเนื้อ และการรับส่งของกระแสประสาท นอกจากนี้ยังพบว่าแคลเซียมช่วยป้องกันความดันโลหิตสูง ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์
หญิงตั้งครรภ์มีต้องการแคลเซียมมากกว่าหญิงปกติ 1 เท่าตัว
ปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุครรภ์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยการดูดซึมในลำไส้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วงการตั้งครรภ์ระยะแรกและสะสมไว้ในกระดูกแม่ พอถึงช่วงไตรมาสสุดท้ายทารกจะมีการสร้างกระดูกมากขึ้น โดยดึงแคลเซียมจากเลือดของมารดามาใช้ประมาณวันละ 300 มิลลิกรัม
ความต้องการแคลเซียมสัมพันธ์กับฟอสฟอรัส โดยจำเป็นต้องมีสัดส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเท่ากับ 1 : 1 เสมอ ร่างกายจึงจะดูดซึมแคลเซียมได้
หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 19 ปี ควรได้รับแคลเซียม 800 มิลลิกรัมต่อวัน
อาหารที่มีแคลเซียม ได้แก่ น้ำนม เนย ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง และผักใบเขียวต่าง ๆ เช่น ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผักโขม ผักกาด และกะหล่ำปลี เป็นต้น
- ฟอสฟอรัส
ฟอสฟอรัสช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และช่วยสร้างเซลล์อื่น ๆ เนื่องจากฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกรดนิวคลีอิก ที่มีความสำคัญต่อการถ่ายทอดพันธุกรรมและควบคุมกระบวนการเมแทบอลิซึมของเซลล์
หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 19 ปี ควรได้รับฟอสฟอรัส 700 มิลลิกรัมต่อวัน
อาหารที่มีฟอสฟอรัสมาก ได้แก่ ปลา นม ไข่ เนย และผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ
- เหล็ก
เหล็กเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นมากสำหรับภาวะตั้งครรภ์ เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และเป็นองค์ประกอบของฮีโมโกลบินที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจน
การได้รับเหล็กในปริมาณไม่เพียงพอทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์และในระหว่างคลอดได้ง่าย เนื่องจากมารดาที่เป็นโรคโลหิตจางจะทนต่อการสูญเสียเลือดในระหว่างการคลอดได้น้อย ทำให้เป็นอันตรายแก่มารดาและทารกได้ รวมทั้งเกิดความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อหลังคลอดได้
คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2546 แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับยาเม็ดธาตุเหล็กเสริมวันละ 60 มิลลิกรัมเสริมจากการได้รับธาตุเหล็กจากอาหาร เนื่องจากระยะตั้งครรภ์จะมีการถ่ายเทเหล็กจากมารดาไปสู่ทารกโดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ประมาณวันละ 3-4 มิลลิกรัม และหญิงตั้งครรภ์จะสูญเสียเหล็กในระหว่างคลอดประมาณ 150 มิลลิกรัม
อาหารที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น เครื่องในสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะตับ ไต ม้าม ไข่แดง ผักใบเขียวต่างๆ ซึ่งควรรับประทานอาหารร่วมกับวิตามินซีและโปรตีนเพื่อช่วยให้ร่างการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
- ไอโอดีน
ไอโอดีนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างฮอร์โมนไทรอกซินจากต่อมไทรอยด์ ซึ่งมีความสำคัญต่อการควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพื่อใช้เป็นพลังงาน ในระยะตั้งครรภ์ที่ร่างกายต้องการพลังงานมากกว่าปกติ ร่างกายจึงต้องการไอโอดีนเพิ่มมากขึ้น
ฮอร์โมนไทรอกซินจึงมีความเกี่ยวข้องในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายและเซลล์สมอง หากขาดฮอร์โมนนี้ในช่วงตั้งครรภ์อาจทำให้แท้งหรือเสียชีวิตในระหว่างคลอด แต่ถ้ารอดชีวิตและเติบโตได้การพัฒนาทางสมองของเด็กลดลง การพัฒนาการทางด้านร่างกายช้า ถ้าขาดรุนแรงพัฒนาการด้านประสาทจะบกพร่องทารกที่คลอดมาจะมีลักษณะเป็นเด็กปัญญาอ่อน หรือที่เรียกว่า “โรคเอ๋อ”
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับไอโอดีนเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 50 ไมโครกรัม หรือควรได้รับวันละ 200 ไมโครกรัม
อาหารที่มีสารอาหารไอโอดีนสูง ได้แก่ อาหารทะเล เช่น ปลา ปู กุ้ง และหอยทะเล นอกจากนี้อาจได้จากการกินเกลือผสมไอโอดีน หรือที่เรียกว่า เกลืออนามัย หรือผลิตภัณฑ์ที่เสริมเกลือไอโอดีน เป็นต้น
- สังกะสี
สังกะสีมีความสำคัญต่อการทำงานของเอนไซม์โปรตีน และการแสดงออกของหน่วยพันธุกรรมในทุกระบบของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้สังกะสียังมีความสำคัญต่อกระบวนการเมแทบอลิซึมของกรดนิวคลีนิก และโปรตีน ช่วยในการเจริญเติบโต และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ทำให้ร่างกายนำวิตามินเอที่สะสมในตับมาใช้ให้ภูมิคุ้มกันโรค และยังทำให้อวัยวะเพศและกระดูมีการพัฒนาตามปกติ
ภาวะขาดสังกะสีก่อให้เกิดความผิดปกติของการเจริญเติบโต ระบบภูมิคุ้มกันการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ และระบบประสาทที่ควบคุมพฤติกรรมต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับสังกะสีเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 2 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 9 มิลลิกรัม
อาหารที่มีสารอาหารสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม จมูก ข้าว ปู กุ้ง เนื้อสัตว์ ตับ เห็ด อาหารที่มีโปรตีนสูงมักมีสังกะสีเป็นส่วนประกอบ
- แมกนีเซียม
แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายโดยเป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์จำนวนมาก มีบทบาทในการควบคุมอุณหภูมิ การยืดหดของกล้ามเนื้อ การสังเคราะห์โปรตีน
ถ้าปริมาณแมกนีเซียมในเลือดน้อยจะมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับแมกนีเซียม เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 30 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 280 มิลลิกรัม
อาหารที่มีสารอาหารแมกนีเซียมสูง ได้แก่ ผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง นม เป็นต้น
ความต้องการเกลือแร่ของหญิงตั้งครรภ์เปรียบเทียบกับหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
ชนิดของเกลือแร่
|
ความต้องการต่อวัน
|
หญิงตั้งครรภ์
|
หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
|
แคลเซียม (มิลลิกรัม)
ฟอสฟอรัส (มิลลิกรัม)
แมกนีเซียม (มิลลิกรัม)
เหล็ก (มิลลิกรัม)
สังกะสี (มิลลิกรัม)
ไอโอดีน (ไมโครกรัม)
|
800
700
280
ยาเสริม 60 มิลลิกรัม
9
200
|
800
700
250
24.7
7
150
|
ที่มา : สำนักโภชนาการ, 2550
ความต้องการวิตามิน
วิตามินเป็นสารอาหารที่ช่วยในการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ในวันหนึ่ง ๆ ร่างกายต้องการปริมาณเล็กน้อย แต่การขาดอาจส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับวิตามิน และส่งผลต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ได้โดยตรง วิตามินที่สำคัญที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับ ได้แก่
- วิตามินเอ
เป็นวิตามินที่ช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ช่วยในการสร้างกระดูกและฟัน ส่งเสริมสุขภาพของผิวหนังและพัฒนาการของเซลล์เยื่อบุผิว ช่วยบำรุงสุขภาพของตาและการมองเห็นของหญิงตั้งครรภ์ บำรุงผิวหนังและเพิ่มความต้านทานโรค รวมทั้งการเพิ่มภูมิต้านทานซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเกิดมะเร็งด้วย
แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับวิตามินเอ เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 200 ไมโครกรัม หรือควรได้รับวันละ 800 ไมโครกรัม
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินเอ ได้แก่ ไข่แดง ตับ และผักที่มีสารแคโรทีน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ประกอบด้วย ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีสีเหลืองเข้ม เช่น ผักตำลึง ผักคะน้า ผักหวาน แครอท ฟักทอง มะละกอสุก เป็นต้น
- วิตามินดี
หญิงตั้งครรภ์ต้องการวิตามินดีเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยในการสร้างกระดูกของทารกในครรภ์ วิตามินดีมีความสำคัญต่อการควบคุมเมแทบอลิซึมของแคลเซียมและกระดูก ช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ทางเดินอาหาร และการทำงานของเซลล์กระดูกเป็นปกติ ซึ่งเป็นผลให้ระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด ปริมาณมวลกระดูก รวมทั้งโครงสร้างและความแข็งแรงของกระดูกอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินดีวันละ 5 ไมโครกรัม ซึ่งคนไทยที่มีสุขภาพแข็งแรงดีซึ่งได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ ผิวหนังสามารถสังเคราะห์วิตามินดีสะสมในร่างกายในปริมาณที่เพียงพอตลอดปี
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดี ได้แก่ น้ำมันตับปลา เนื้อปลาที่มีไขมัน ตับ นม และไข่แดง เป็นต้น
- วิตามินอี หรือโทโคเฟอรอล (tocopherol)
วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันชนิดที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์และสัตว์ ความสำคัญต่อการผลิตพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาทที่เกี่ยวข้องทำงานได้ในภาวะที่มีออกซิเจนน้อย เพิ่มความทนทานและช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้สะดวกขึ้น
วิตามินอีพบได้ในผนังเซลล์ทุกชนิดและในหยดไขมัน มีบทบาทในการต่อต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันที่เกิดขึ้นกับสารต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกาย เช่น บนผนังเซลล์เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกทำลาย
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินอีวันละ 15 ไมโครกรัม
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืชต่าง ๆ เมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดแตงโม อัลมอนด์ ถั่วเหลือง รวมทั้งจมูกข้าวสาลี ตลอดจนตับ หัวใจ และไข่แดง
- วิตามินบีหนึ่ง
วิตามินบี 1 เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ ที่ใช้ในกระบวนการย่อยคาร์โบไฮเดรต ถ้ามีวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอคาร์โบไฮเดรตจะไม่ถูกย่อย ดังนั้นถ้าใช้พลังงานมากหรือกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก ควรได้รับวิตามินบีหนึ่งเพิ่มขึ้นด้วย
การขาดวิตามินบี 1 ส่งผลให้เกิดโรคเหน็บชา ซึ่งอาจพบในหญิงตั้งครรภ์ที่เกิดการแพ้ท้องมากจนไม่สามารถบริโภคอาหารได้ ประกอบกับต้องใช้พลังงานมาก ทำให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า ถ้าไม่รักษาอาจเกิดการแท้งบุตรได้
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินบีหนึ่ง เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 0.4 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 1.4 มิลลิกรัม
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบีหนึ่ง ได้แก่ จมูกข้าว ยีสต์ พืชตระกูลถั่ว เนื้อหมู ไข่ และเครื่องในสัตว์โดยเฉพาะตับ เป็นต้น
- วิตามินบีสอง
วิตามินบี 2 เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ช่วยบำรุงผิวหนัง ช่วยป้องกันโรคไมเกรน ช่วยขจัดอนุมูลอิสระ
การขาดวิตามินบี 2 มีผลทำให้ผิวหนังแตกเป็นขุย และแดงอักเสบ บำรุงนัยน์ตา ลดอาการตาไม่กล้าสู้แสง ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก หรือรอยแผลแตกที่มุมปาก นอกจากนี้การขาดวิตามินบี 2 จะเกี่ยวข้องกับโรคขาดโปรตีนและพลังงาน
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินบีสอง เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 0.3 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 1.4 มิลลิกรัม
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบีสอง ได้แก่ ตับ และผักใบเขียว
- โฟเลต
โฟเลตเป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับกรดนิวคลีอิกและกรดแอมิโน
โฟเลตเป็นวิตามินที่มีความสำคัญมากต่อหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากทารกในครรภ์อย่างรวดเร็วทั้งร่างกายและสมอง โฟเลตช่วยในการสร้างและพัฒนาเม็ดเลือดแดง ช่วยการสังเคราะห์สารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอจำเป็นสำหรับการแบ่งเซลล์และการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อต่าง ๆ และช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดภาวะหลอดประสาทของทารกในครรภ์เปิด หรือ neural defects : NTDs
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับโฟเลต เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 200 ไมโครกรัม หรือควรได้รับวันละ 600 ไมโครกรัม เมื่อร่างกายได้รับโฟเลตไม่เพียงพอจะทำให้เกิดอาการโลหิตจาง
อาหารที่เป็นแหล่งของโฟเลต ได้แก่ ตับ ผักใบเขียว ผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดดอกทานตะวัน และจมูกข้าว เป็นต้น
- วิตามินบีสิบสอง
วิตามินบี 12 จำเป็นสำหรับการทำงานของเซลล์ในไขกระดูก ระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดเลือดแดงมีอายุตามปกติ ใช้รักษาระบบเลือดผิดปกติ และอาการทางประสาทของคนไข้ที่เป็นโรคโลหิตจางเป็นพิษชนิดเพอร์นิเซียส (pernicious anemia)
วิตามินบี 12 ทำงานร่วมกับโฟเลต เหล็ก ในการผลิตเม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 0.2 ไมโครกรัม หรือควรได้รับวันละ 2.6 ไมโครกรัม
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบีสิบสอง ได้แก่ ตับ ไต หัวใจ เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นต้น
- วิตามินซี
วิตามินซีมีความสำคัญต่อการสังเคราะห์คอลลาเจน คาร์นิทีน สารเหนี่ยวนำกระแสประสาท (neurotransmitter) และเมแทบอลิซึมของกรดแอมิโนและคาร์โบไฮเดรต เพิ่มภูมิต้านทานและช่วยในการดูดซึมเหล็ก ยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งไนโตรซามีน (nitrosamine) มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของลิพิด (lipid peroxidation)
ถ้ามีการขาดวิตามินซีอย่างรุนแรงจะเกิดโรคลักปิดลักเปิด (scurvy) และมีผลต่อการสร้างกระดูกและฟันของทารกในครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินซี เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 10 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 85 มิลลิกรัม
วิตามินซีพบมากในผลไม้ เช่น เชอรี่ ฝรั่ง ส้ม มะนาว และผัก เช่น คะน้า สะเดา ผักหวานเป็นต้น
ที่มา : ดัดแปลงจากพัทธนันท์, 2555 และฝ่ายโภชนาการ โรงพยาบาลศิริราช, 2556